Author Archive

การตั้งศาล   Leave a comment

ขั้นตอนการตั้งศาล

ประการแรก- กำหนดสถานที่ตั้งศาลในตำแหน่งที่ดีและเหมาะสมที่สุด โดยพิจารณา 4 ข้อหลักดังนี้

  1. น้ำชายคาไม่ตกใส่ตัวสาลและพื้นศาล
  2. ไม่ตั้งศาลติดกับห้องน้ำ หรือห้องส้วม
  3. ใต้พื้นศาลต้องไม่มีท่อระบายน้ำทิ้งหรือน้ำเสีย
  4. ไม่หันหน้าศาลเข้าหาตัวบ้านหรือบานประตู และในตำแหน่งตั้งศาลไม่ควรตรงกับประตูหน้าบ้าน

ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ นั้น พิจารณาตามความเหมาะสม แต่ในสี่ประการที่กล่าวมาข้างต้น ควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

ประการที่สอง- เมื่อได้สถานที่ตามต้องการและเหมาะสมที่สุดแล้ว ต้องทำการเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้่อย โดย

  1. ดูแลพื้นที่บริเวณนั้นให้สะอาด เรียบร้อย ปราศจากขยะมูลฝอย หรือสิ่งปฏิกูล
  2. ห้ามมีตอไม้อยู่ใต้พื้นศาล ถ้ามีัต้องขุดถอนออกให้เรียบร้อย

ประการที่สาม-คือการปรับปรุงพื้นที่ในตำแหน่งที่ตั้งศาล โดย

  1. ปรับระดับพื้นที่ในบริเวณที่กำหนดให้ได้ระดับสูง ต่ำ ตามที่ต้องการ
  2. เตรียมแท่นรองรับศาลให้มั่นคงแข็งแรง ไม่ทรุด ไม่เอียง ความสูงพอประมาณ หรือตามสภาพของแต่ละสถานที่นั้น ๆ
  3. การตั้งศาลพระภูมิชัยมงคล จุดบริเวณใต้เสาศาล

บนแทนจะทำหลุมเชื่อมต่อกับพื้นดิน จะไม่เทปูนปิดทับทั้งหมด เพื่อไว้สำหรับตอกไม้มงคล หรือ บรรจุสิ่งของมงคลไว้ในก้นหลุมในวันทำพิธี

ขั้นตอนทั้งหมดนี้เป็นการเตรียมสถานที่สำหรับการตั้งศาลทุกชนิด เป็นหลักใหญ่ใจความ แต่ก็ยังมีรายละเอียดปลึกย่อยอีก ถ้าไม่มั่นใจ ก็จำเป็นต้องเชิญผู้รู้มาตรวจดูให้คำแนะนำก็จะเป็นการดีที่สุด  เพราะในวันตั้งศาลก็ต้องเชิญผู้รู้มาทำพิธีอยู่แล้ว  (กรณีตั้งศาลตายายไม่ต้องมีหลุมใต้ศาล)

การกำหนดวันตั้งศาล พรามหม์จะเป็นผู้กำหนดให้ พร้อมทั้งปรึกษากับเจ้าของสถานที่เพื่อหาข้อสรุปให้ได้ฤกษ์ยามที่เป็นมงคลที่สุด คือ

  1. ไม่เป็นวันกาลิณีกับเจ้าของสถานที่
  2. ไม่ตรงกับวันอุบาทว์ โลกาวินาศในปีนั้น
  3. หลีกเลี่ยงวันห้ามในแต่ละเดือนตามโบราณจารย์กำหนดไว้  ดังนี้

เดือน 1 (ธันวาคม เดือนไทย) วันห้าม วันพฤหัสบดีและวันเสาร์

เดือน 2 (มกราคม) วันห้าม วันพุธ และ วันศุกร์

เดือน 3 (กุมภาพันธ์) วันห้าม วันอังคาร

เดือน 4 (มีนาคม) วันห้าม วันจันทร์

เดือน 5  (เมษายน) วันห้าม วันพฤหัสบดีและวันเสาร์

เดือน 6 (พฤษภาคม) วันห้าม วันพุธ และ วันศุกร์

เดือน 7 (มิถุนายน) วันห้าม  วันอังคาร

เดือน 8 (กรกฎาคม) วันห้าม วันจันทร์

เดือน 9 (สิงหาคม) วันห้าม วันพฤหัสบดีและวันเสาร์

เดือน 10 (กันยายน) วันห้าม วันพุธ และ วันศุกร์

เดือน 11 (ตุลาคม) วันห้าม วันอังคาร

เดือน 12 (พฤศจิกายน) วันห้าม วันจันทร์

ในส่วนของวันอาทิตย์ ไม่มีข้อห้าม แต่ว่าโบราณบอกว่าเป็นวันร้อน และ แรง แต่ถ้าตรวจดูฤกษ์ยามแล้วได้วันอาทิตย์ ทางพรหมณ์ผู้ทำพิธีก็จะมีวิธีแก้เคล็ดให้ ก็เป็นมงคลได้ไม่มีปัญหาต้องกังวล

อุปกรณ์เครื่องมงคลประกอบการตั้งศาล

ไม่ว่าจะเป็นศาลท้าวมหาพรหม พระพิศฆเนศ พระภูมิชัยมงคล ตายาย ตี่จู้เอี้ย สิ่งที่สำคัญซึ่งทางเจ้าของสถานที่ต้องจัดหามาเอง หรือพอร่วมกับพราหมณ์ผู้ทำพิธีได้ ห้ามให้คนอื่นจัดหาให้โดยทางเจ้าของสถานที่ไม่ได้ร่วมพิจารณาว่าตรงกับความต้องการ พอใจถูกใจหรือไม่ เมื่อดำเนินการเสร็จแล้วจะได้เป็นที่สบายใจ พอใจ ไม่มีข้อกังวลต่อไป จะเป็นมงคลกว่า สิ่งที่สำคัญดังกล่าวคือ

  1. ตัวศาล หรือ เรือนศาล
  2. องค์ที่จะนำมาประดิษฐานในศาลนั้น

ส่วนเครื่องประกอบศาลอื่น ๆ ให้ทางผู้รู้ จัดหา หรือจะจัดเองก็ได้ โดยพราหมณ์ผู้ทำพิธีจะมีรายละเอียดให้ตามแต่ละชนิดของการตั้งศาล

ชุดมงคลสำหรับบรรจุลงในหลุม (ยกเว้นการตั้งศาลตายาย)

  1. ไม้มงคลเก้าอย่าง
  2. แผ่นเงิน แผ่นทอง แผ่นนาค
  3. พลอยเก้าสี 1 ชุด
  4. ใบเงิน ใบทอง ใบนาค
  5. ดอกไม้โปรย เช่น ดาวเรือง กุหลาบ ดอกบัว บานไม่รู้โรย มะลิ
  6. รายละเอียดนอกเหนือจากนั้นทางพรามณ์จะเป็นผู้กำหนดตามความเหมาะสม

ชุดมงคลประกอบศาล

  1. กระถางธุป
  2. เชิงเทียน
  3. แจกัน
  4. พวงมาลัยหน้าศาล
  5. พวงมาลัยสี่มุม
  6. ผ้าสามสี  1 ชุด
  7. นางสนม (คนรับใช้)
  8. นางละคร
  9. ช้าง ม้า
  10. ตุ่มเงิน ตุ่มทอง
  11. ฉัตรเงิน ฉัตรทอง หรือโพธิ์เงิน โพธิ์ทอง (แล้วแต่ประเภทของศาล)

รายละเอียดเพิ่มเติมอีกไม่มาก ทางพราหมณ์ผู้ทำพิธีจะเพิ่มเติมให้หากจำเป็น

ชุดของไหว้สักการะ

ชุดของไหว้ในพิธีตั้งศาลที่จำเป็นขาดไม่ได้คือ

  1. บายศรี ปากชาม 1 คู่
  2. กล้วยน้ำว้า
  3. มะพร้าวอ่อน
  4. ผลไม้  5 อย่าง หรือ 9 อย่าง
  5. ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว
  6. ข้าวสวย ไข่ต้ม
  7. หมากพลู บุหรี่
  8. น้ำดื่ม น้ำชา
  9. กู้ง ปู ปลา (ถ้าเป็นศาลพระพรหม ไม่ใช้ของคาว)
  10. ขนมหวาน

ยังมีรายละเอียดของไหว้อย่างอื่น ทางพรามห์ผู้ทำพิธีจะจัดรายการให้เพื่อความสมบูรณ์ในพิธียิ่งขึ้น

ในขั้นตอนการตั้งศาล พรามหณ์ผู้ทำพิธีจะเป็นผู้ดำเนินการ พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการร่วมพิธีตั้งศาลจนเสร็จสมบูรณ์ตามประเพณีปฏิบัติสืบมาแต่โบราณจารย์ เพื่อความเป็นศิริมงคลสืบไป จนเสร็จพิธีทุกขั้นตอน

การดูแลรักษาความเป็นมงคล

เจ้าของสถานที่ควรสักการะบูชาให้สม่ำเสมอ โดย

  1. จุดธุป เทียน เพื่อบูชา
  2. ถวายน้ำดื่ม น้ำชา (ควรทำทุกวัน)
  3. จัดเครื่องสักการะบุชา เช่น ดอกไม้กำ พวงมาลัย ผลไม้ อาหารคาวหวาน (ศาลองค์พรหมงดของคาว)
  4. ในหนึ่งปีควรทำะพิธีบรวงสรวง กราบไหว้บูชา จัดของไหว้ครบสมบูรณ์ อย่างน้อยปีละครั้ง
  5. ถ้ามีอุปกรณ์เครื่องประกอบศาลชำรุด จัดหามาเปลี่ยนในเวลาอันสมควร หรือ เมื่อประกอบพิธีในข้อ 4  ยกเว้น ประธานในศาลนั้น ห้ามทำการเปลี่ยนเอง ให้เชิญผู้รู้มาทำพิธีให้

ถ้าไม่มั่นใจหรือเกิดความกังวลอย่าทำเอง ให้เชิญพราหมณ์หรือผู้รู้มาทำพิธิให้จะดีกว่า เพื่อความสบายใจ

ตัวตนของอาจารย์วิเชียร คุรุพรหมมา   Leave a comment

โหราศาสตร์

การตรวจดวงชะตา ฤกษ์ยาม เพื่อเป็นแนวทางสนับสนุนการตัดสินใจและเป็นข้อควรระวังในการดำเนินชีวิตทุกด้าน เช่น เรื่องสุขภาพ การงาน ความรัก ชีวิตครอบครัว การร่วมหุ้นลงทุนเชิงธุระกิจ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมและปัญหาที่จะประสบในโอกาสข้างหน้าของชีวิต รวมถึงแนวโน้มของปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นเพื่อเป็๋นการรู้เหตุรู้ผลเท่าทันต่อเหตุการณ์ เป็นการตั้งอยู่ในความไม่ประมาทและอยู่ในเหตุผลที่เหมาะสมและไม่งมงาย

การบรวงสรวง

พิธีบวงสรวงอาคารพาณิชย์   ไหว้ครู2    พิธีเจิมเสาเข็ม

พิธีบรวงสรวง เทพยดาอารักษ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เป็นการบอกกล่าวขอพร ขออนุญาติ ให้ท่านเมตตาสนับสนุนในการทำกิจการงานต่าง ๆ ในสถานที่นั้นเพื่อนความเป็นศิริมงคลสืบต่อไป เช่น การตอกเสาเข็ม ยกเสาเอกปลูกบ้าน วางศิลาฤกษ์ อาคาร ห้างร้าน บริษัท อาคารพาณิชย์ หมู่บ้าน โรงงาน อาคารขนาดใหญ่ และรวมถึง การบรวงสรวงในพิธีทางศาสนา เพื่อความสุขความเจริญ ในพิธีพุทธาภิเษก เพื่อความศักดิ์สิทธิ์

พิธีบรวงสรวงนั้น จะทำให้กิจการงานต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นสามารถดำเนินการไปได้ด้วยดี มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน และ สำเร็จลุล่วงเรียบร้อยไปได้ด้วยดี ตามเจตนารมณ์

การตั้งศาล

  • ศาลพระพรหม
  • ศาลพระพิฆเนศ
  • ศาลพระภูมิ (พระชัยมงคล)
  • ศาลเจ้าที่ (ตายาย)
  • ศาลตี่จู้เอี๊ยะ (ศาลเจ้าที่จีน)

SDC10003   SDC10102   SDC10050

เพื่อเป็นประธานในสถานที่นั้น เพื่อความเป็นศิริมงคล คุ้มครองปกปักรักษา เป็นที่เคารพนับถือ และยังช่วยขจัดสิ่งอัปมงคล ไม่ให้มากล้ำกราย ทำให้มีความสุข ความเจริญ อยู่เย็นเป็นสุข พบแต่สิ่งดี ๆ มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตสืบไป

การนำหลักฮวงจุ้ยมาช่วยในการตั้งศาล – ในกรณีที่สถานที่นั้นขาดพลังงานสนับสนุน หรือมุ่งเน้นให้เกิดความเจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป นอกเหนือจากความเป็นศิริมงคลกับสถานที่และกิจการนั้น ๆ การจัดวางในตำแหน่งที่ถูกต้อง หันหน้าในทิศทางที่เป็นมงคลในองศาที่ถูกต้อง บวกกับ ฤกษ์ยามที่ดี และโฉลกกับเจ้าของกิจการสถานที่นั้น จะทำให้พลังงานที่แผ่ออกมาจะสนับสนุนส่งเสริมและเป็นมงคลกับสถานที่นั้น ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ในกรณีที่สถานที่นั้น ดำเนินการจัดตั้งศาลไปเรียบร้อยแล้ว ควรบวงสรวง กราบไหว้บูชา บอกกล่าวขอพร ในช่วงเวลาที่เหมาะสมปีละ 1 ครั้ง ก็จะเป็นการสานต่อพลังงาน และความศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้ขาดช่วง

การสวดมนต์แผ่เมตตา

  • เพื่อต้องการความสุข ความเจริญ และขจัดปัดเป่าอุปสรรคให้แก่ สถานบ้านเรือน กิจการร้านค้า โรงงาน หมู่บ้าน
  • รักษาการต้องอาถรรพ์ ถูกกลั่นแกล้ง
  • แก้ปัญหาทำกิจการไม่่เจริญก้าวหน้า
  • แก้ปัญหา ข้อวิตก ต่าง ๆ เพื่อให้คลี่คลายไปในทางที่ดี

ขอพรเทวดารักษาตัว

การขอพรเทวดารักษาตัว เพื่อให้สนับสนุน ช่วยเหลือ ให้พร ปกปักรักษา ท่านจะได้เมตตา ประทานพรให้ชีวิตดีขึ้นตามบุญตามวาสนาที่มีอยู่ในทุก ๆ ด้าน ด้วยการ ทำบุญ รักษาศีล เจริญสมาธิกรรมฐาน เพื่อส่งบุญกุศลนั้นให้เทวดารักษาตัวเรา (ดูรายละเอียดเพิ่มในหัวข้อ “ส่งบุญให้เทวดาประจำตัว วิธีการขอพรให้ตัวเองที่ง่ายที่สุด”)

จิตสมาธิ (สุขภาพ)

โดยการเจริญสมาธิกรรมฐาน เพื่อบำบัด รักษา สุขภาพ เช่น กระดูกแขนขาหัก ปวดตัว ปวดกระดูก เส้นเอ็น กล้ามเนื้อผิดปกติ  ช่วยความทุกข์ทรมานลดลง กินได้ นอนหลับ สุขสงบใจ

พระเวทย์ (วิทยาคม)

ในชีวิตที่ได้เป็นศิษย์รับใช้หลวงพ่อบุญมาก สัญญโม วัดโพธิ์ ตลิ่งชัน หลวงพ่อได้ถ่ายทอดวิชาให้มากมาย ซึ่งก็ตั้งใจศึกษาร่ำเรียนมา เพื่อหวังจะช่วยเพื่อนร่วมโลกทั้งหลายที่มีทุกข์ร้อน ได้บรรเทาหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้นเท่าที่จะช่วยได้ ที่ผ่านมา ก็มีคนต้องอาถรรพ์ต่าง ๆ  หรือเจ็บป่วยโดยหาสาเหตุไม่ได้มาให้ช่วยอยู่เสมอ นอกเหนือจาก การลงอักขระ เลขยันต์ เมตตาค้าขาย

พลังจิต (Mind Power)   Leave a comment

ppppppp

หมาย ถึงคลื่นความถี่ของพลังงานความคิด (Pranic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก (Proton) ไฟฟ้าลบ (Electron) ที่เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal Body) ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขบวนการทางความคิด(Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยังต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่าเกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้

บุคคลที่มีพลังจิตสูง

บุคคลที่มีพลังจิตสูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่าอุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่าอัปปนาสมาธิ
การทำงานของพลังจิต

จิตจะทำงานได้จิตต้องมีเครื่องมือคือร่างกายที่ เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมองมีหน้าที่รับคำสั่งของจิตคือ ต่อมใพเนียล (Pinial Body) ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆสีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้อยู่ในส่วนกลางตอนบนของมันสมอง เมื่อต่อมไพเนียลรับคำสั่งของจิตต่อมนี้จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆทั่งร่างกายเพื่อควบคุมการทำงาน ของอวัยวะนั้นๆ พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆจะมีกระแสความถี่ต่างกันตามหน้าที่ ของอวัยวะและคนนั้นๆอีกด้วย เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของเซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆทำให้มีการสร้างและการ ทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10 เซลล์ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์

68313conscious-mind[1]

การศึกษาพลังจิต

ได้มีการค้นคว้าทางพลังจิตทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่าพลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่าพลังแห่งชีวิต (Life Force Energy) ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่าพลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism) ชาวรัสเซียเรียกว่าพลังงานชีวภาพ (Bioplasmic Energy) นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่าพลังชีวภาพ (Bio Energy) หรือพลังแม่เหล็กไฟฟ้า (Electo Magnetic Force

บุคคล ที่มีร่างกายแข็งแรงคือผู้ที่มีพลังจิตสมบูรณ์ควบคุมอยู่ทั่วทุกส่วนของร่าง กายทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นแจ่มใสกระฉับกระเฉง พลังจิตจะเปล่งเป็นรัศมีออกโดยรอบร่างกาย ตรงกันข้ามคนป่วยจะมีพลังจิตควบคุมอยู่เพียงเล็กน้อย ภูมิต้านทานในร่างกายจะลดต่ำลง ร่างกายจะอ่อนแอ และจะมีร่างกายที่ปกติเหมือนเดิมได้เมื่อได้รับพลังจิตนั้นๆเพิ่มขึ้น

ดังนั้นพลังจิตจึงเป็นพลังงานที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น การหมุนเวียนของโลหิต การเจริญเติบโตของเซลล์ หากร่างกายส่วนใดขาดพลังจิตร่างกายส่วนนั้นจะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆได้ตาม ปกติ หรือร่างกายไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พลังจิตที่ใช้กันทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ

1.Telepathy คือพลังงานแห่งเมตตา พลังนี้ติดต่อกันได้โดยทางจิต เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์

2. Telkynesys คือพลังงานที่ใช้บังคับวัตถุให้เคลื่อนที่ หรือใช้เพื่อทำลายวัตถุต่างๆ เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการบังคับหรือเพื่อการทำลาย

3. Teleportation คือพลังงานที่ใช้เพื่อการล่องหนหายตัว เมื่อใช้พลังงานนี้แล้ว สามารถเดินบนน้ำบนอากาศ หรือเพื่อผ่านเครื่องกีดขวางได้ พลังจิตผิดปกติทำให้เจ็บป่วย

จิต มีอำนาจเหนือร่างกาย ที่เรียกว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยจิต เมื่อจิตมีอำนาจของกรรมครอบงำอยู่ จิตนั้นจะสั่งกายซึ่งเป็นเครื่องมือของจิตตามอำนาจของกรรมนั้น เช่น จิตมีอำนาจของอกุศลกรรมมาก พลังงานไฟฟ้าที่ออกมาจะไม่มีความสมดุลย์ทางธรรมชาติ เช่น ทำให้พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก พลังงานไฟฟ้าลบสูงมากบ้าง จะมีผลทำให้ระบบการสร้างการทำลายของร่างกายไม่คงที่ ดังนี้

พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์มากกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างโตกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคบวม เนื้องอก เช่น โรคหัวใจ โรคมดลูก เนื้องอกธรรมดา เนื้องอกมะเร็งเป็นต้น

นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งได้กล่าวถึง ทฤษฏี เกี่ยวกับมะเร็งที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดว่า เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นในตัวคนเราตลอดเวลา แต่ถูกทำลายโดยเซลล์เม็ดเลือดขาว ก่อนที่มันจะโตจนก่อพิษภัยแก่ร่างกาย โรคมะเร็งเกิดขึ้นต่อเมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกกดดันการทำงานไว้ ทำให้ไม่สามารถขจัดเซลล์มะเร็งที่ก่อตัวขึ้น ดังนั้นถ้ามีอะไรก็ตามส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองที่จะควบคุมระบบภูมิคุ้ม กัน มะเร็งย่อมเกิดขึ้นได้

พลังงาน ไฟฟ้าลบสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์น้อยกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างเล็กกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคลีบตีบต่างๆ เช่น หลอดเลือดตีบ ลิ้นหัวใจตีบ กล้ามเนื้อตาย มันสมองฝ่อ ภูมิต้านทานบกพร่อง ตับวาย ไตวาย กล้ามเนื้อหัวใจไม่ทำงาน เรียกว่า โรคไหลตาย เด็กเกิดมามีร่างกายไม่สมบูรณ์เป็นต้น

พลังงาน ไฟฟ้าภายในร่างกายของแต่ละบุคคลอาจไม่เท่ากันก็เป็นได้ ผมเคยพบว่าการเพิ่มเลือด เกล็ดเลือดให้คนไข้ สภาพร่างกายคนไข้ไม่ยอมรับเลือดหรือเกล็ดเลือดนั้น เพราะเลือดใหม่และเลือดเก่าไม่สามารถเข้ากันได้ แม้ทางการแพทย์จะวิเคราะห์แล้วว่าเป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกัน เมื่อพิจารณาในสมาธิพบว่าพลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมเม็ดเลือดนั้นไม่เท่ากัน แสดงว่าพลังงานควบคุมเม็ดเลือดของแต่ละคนจะเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้ และพบอยู่มากกับกลุ่มผู้หลงผิดที่ไปรับเอาพลังงานอื่นมากดทับพลังจิตของตน เอง ทำให้การทำงานของพลังจิตของตนผิดไป จิตนั้นจึงสั่งมาที่สมองของตนผิด การแสดงออกของร่างกายจิตผิดไปด้วย เช่น กลุ่มของคนทรงเจ้าเข้าผี กลุ่มของคนเหล่านี้จะไปรับเอาเวทย์มนต์คาถา ของอิทธิฤทธิ์ ของอาถรรพ์ดวงวิญญาณเข้ามาสิง เช่น ดวงวิญญาณกุมารทอง นางกวัก ปลัดขิก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ น้ำมันพรายหรือองค์เทพต่างๆมาอยู่กับตนที่เรียกว่า เดรัจฉานวิชา ไม่เป็นจิตดั้งเดิมของตนเอง อาการป่วยของบุคคลเหล่านี้ทางการแพทย์จะตรวจหาสาเหตุไม่พบ

การเพิ่มและการรับพลังจิต

บุคคล ที่มีสมาธิดีจะมีคลื่นความถี่ และความรุนแรงของพลังงานความคิดสูง สามารถที่จะส่งพลังงานนั้นไปยังบุคคลที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้แน่ชัดทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงที่ตัวผู้รับได้ตามความปราถนานั้น เรียกว่า การเพิ่มและการรับพลังจิต การเพิ่มแต่ละครั้งแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพิ่มพลังจิตแต่ละครั้งนานเท่าใด ผู้เพิ่มพลังจิตจะทราบได้ในสมาธิจิตนั้น หากผู้รับยังรับได้ก็เพิ่มให้ต่อไป หากเห็นว่าพลังจิตที่ส่งไปนั้นหยุดลง ก็หยุดเพิ่มพลังจิตในครั้งนั้น และต้องเพิ่มพลังจิตกี่ครั้งจึงจะได้ผล สิ่งนี้ไม่มีกำหนดแน่นอนขึ้นอยู่กับผู้รับ หากผู้รับสามารถรับพลังจิตได้มาก และเห็นว่าอวัยวะที่ผิดปกตินั้นเปลี่ยนเป็นปกติเร็วพลังจิตที่ส่งไปจะหยุดลง ควรหยุดเพิ่มพลังจิตให้ผู้ป่วยกลับไปทำสมาธิภาวนาด้วยตนเอง ผู้ป่วยจะสร้างพลังจิตที่ดีขึ้นมาได้ พลังจิตนั้นๆจะบำบัดทุกข์ให้กับผู้ป่วยได้ในที่สุด

การเพิ่มพลังจิตกระทำได้ 3 ทาง คือ

1. เพิ่มที่อวัยวะนั้นโดยตรง

2. เพิ่มที่จุดกำเนิดของพลังจิต คือที่ต่อมไพเนียล

3. เพิ่มพลังจิตให้ครอบคลุมทั้งตัวผู้รับ
จะเพิ่มให้ใครที่อวัยวะใดนั้นจะทราบและเห็นได้ในสมาธินั้นๆ
ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดี

ผู้ เพิ่มพลังจิตที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้คือ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา และเมื่อเพิ่มพลังจิตให้กับใครก็ตามต้องรู้ทุกข์ รู้สาเหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางดับทุกข์ และรู้วิธีการดับทุกข์นั้นๆโดยชัดแจ้งพร้อมตั้งตนอยู่ในพรหมวิหารธรรม และหิริโอตัปปธรรม
ผู้รับพลังจิตที่ดี คือ เป็นผู้ที่มี

1. ศรัทธา ผู้รับต้องมีศรัทธาที่จะรับพลังจิต

2. สมาธิ ผู้รับต้องมีความตั้งมั่นแห่งจิตอยู่กับกายและจิตของตน

3. สติ ผู้รับต้องมีความระลึกได้ว่าตนกำลังรับพลังจิตอยู่

4. ปัญญา ผู้รับต้องรู้จักการปล่อยวางความทุกข์ออกจากจิตใจในขณะนั้น

5. ความขยันหมั่นเพียร การรับพลังจิตนั้นต้องรับสม่ำเสมอและให้ตั้งอยู่ในคำสอนของพุทธองค์เป็นหลัก ดังกล่าวแล้ว
การเพิ่มพลังจิตผ่านบุคคลอื่นวัตถุอื่น

บาง กรณีที่จำเป็น คือ ผู้ป่วยไม่สามารถขอรับพลังจิตด้วยตนเองได้ เช่นอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช อยู่ต่างประเทศ ผมได้ทดลองเพิ่มพลังจิตผ่านกระแสจิตของผู้ใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ บุตร สามี ภรรยา ผู้ดูแล หรือผ่านลงไปในน้ำดื่ม ก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้บ้างเป็นบางส่วนเท่านั้น
บุญและบาปเป็นพลังงาน

หนังสือ พิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 4 ธันวาคม 2536 และ 30 มกราคม 2537 ลงบทความเรื่องสัจธรรม โดย พญ.บุษกร กล่าวว่า ร่างกายของสัตว์เป็นสสารควบคู่กับจิตใจซึ่งเป็นพลังงานทั้งร่างกายและจิตถูก พลังงานแห่งกิเลสปรุงแต่งให้จิตมืดบอด หรือ ราคะ โทสะ และโมหะ ส่งผลให้เกิดมโนกรรม วจีกรรม และ กายกรรมและกระทำความชั่วต่างๆได้ตามอำนาจของกรรมนั้นๆ

บุคคล ที่มีจิตมีสัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ มีจิตเมตตาปราณี ทางการแพทย์พบว่าต่อมใต้สมองจะผลิตสารบุญเรียกว่า เอนดอร์ฟีน (Endorphine) ออกมามากส่งผลให้ร่างกายเบาสบาย ที่เรียกว่าเกิดปิติ กินได้นอนหลับ ไม่ฝันร้าย หรือไม่ฝันเลย ผิวพรรณผ่องใสใบหน้าสดชื่น โคเรสเตอรอลละลายสลายตัว เม็ดเลือดขาวแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคสูง ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดี เจ็บป่วยทางกายน้อยลง บาดแผลหายเร็วกว่าผู้มีจิตใจเป็นบาปถึงเท่าตัว หากเป็นโรคมะเร็ง เซลล์มะเร็งจะหยุดหรือลุกลามช้าลง

ใน ทางตรงกันข้าม บุคคลที่จิตมีมิจฉาสมาธิ มิจฉาทิฏฐิ จิตที่คิดเกลียด โกรธ อิจฉาริษยา อาฆาต พยาบาท เคียดแค้น เครียด วิตกกังวล ต่อมหมวกไตจะสร้างสารบาปออกมามาก สารนี้จะซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไปออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมาย ดังนี้

1. สารแอดรินาลิน (Adrenalin) ทำให้หัวใจเต้นเร็งแรง เส้นโลหิตแดงหดเกร็ง เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ถ้าเส้นเลือดแดงที่ไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อผนังหัวใจหดจนตีบตัน หัวใจจะวายถึงตายได้ โคเรสเตอรอลจะถูกสร้างขึ้นทั้งๆที่มิได้รับประทานไขมันสัตว์ กะทิ ไข่แดง หอยนางลม หรือเครื่องในสัตว์มากกว่าปกติ

2. สารสเตียร์รอยด์ (Sterroid) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการหลั่งน้ำย่อยอาหาร อาจมีผลทำให้หลั่งมากหรือน้อยก็ได้ ถ้าหลั่งมากน้ำกรดในน้ำย่อยย่อมกัดผนังด้านในของกระเพาะอาหารทำให้ปวด ท้องบริเวณลิ้นปี่ เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ถ้ากัดกร่อนเส้นเลือดใหญ่ทะลุ จะอาเจียนเป็นเลือด หากช่วยไม่ทันจะเสียเลือดจนตาย ถ้าหลั่งน้อย ท้องจะอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากรับประทานอาหาร

3. สารแลคติค แอซิด หรือ เกลือแลคติค (Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นแล้วมีผลต่อร่างกาย คือ

1. ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำลายความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาว เหมือนฤทธิ์ของ HIV เชื้อโรค AIDS ร่างกายจึงอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย หายนาน

2. เกล็ดเลือดในกระแสโลหิตจับตัวกันเป็นลิ่มเล็กๆ ไปอุดตันตามหลอดเลือดฝอยต่างๆ ถ้าเกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญ เช่น มันสมองจะทำให้เกิดอัมพาตขึ้นได้

พลังงาน แห่งวิบากกรรมเหล่านี้ เมื่อถูกก่อขึ้นแล้วมิอาจสูญหายไปในทางใดได้ พลังงานดังกล่าวจะตามสนองเรื่อยไปตามโอกาสตราบจนผู้นั้นสิ้นกิเลส สิ้นกรรม ไม่ก่อพลังงานของกรรมใหม่อีกต่อไป ที่เรียกว่า กรรมเป็นผู้ติดตาม

เมื่อ ท่านทราบผลกรรมที่เป็นปัจจุบันกรรมเช่นนี้แล้ว ขอได้หยุดสร้างกรรมต่อกัน ทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม พลังงานของวิบากกรรมจะเกิดขึ้นน้อยหรือไม่เกิดขึ้น การทำงานทุกระบบของร่างกายจะเป็นปกติ ท่านจะมีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ

 

วัดภูสังโฆ ที่พี่เซี้ยบวชอ่ะ อากาศหนาวมากเลย

จากหนังสือ ธรรมะในจิต โดย อาจารย์ พิศ เงาเกาะ

ส่งบุญให้เทวดาประจำตัว วิธีการขอพรให้ตัวเองที่ง่ายที่สุด   Leave a comment

จากการที่อาจารย์ได้พบปะผู้คนมากมายหลากหลายสาขาอาชีพ ส่วนมากแล้วมักจะมีปัญหามาปรึกษา ซึ่งอาจารย์ก็ได้ให้คำแนะนำข้อปฎิบัติตนต่าง ๆ ไปตามสถานะการณ์ของแต่ละท่านที่มาปรึกษา ส่วนใหญ่แล้วอาจารย์ก็จะเน้นให้แต่ละท่านหมั่นทำทาน สร้างบุญสร้างกุศล แต่ก็มีบางท่านที่มีอุปสรรคไม่สามารถทำได้ อาจารย์จึงอยากจะชี้แจง พร้อมยกตัวอย่างเพื่อเป็นข้อคิดและเป็นเทคนิดสำหรับคนที่ต้องการสร้างบุญบารมี

ที่มาของบุญนั้น คือ ทาน ศีล และ ภาวนา หากท่านไม่มีปัจจัยที่จะทำทาน ท่านก็ถือศิลห้า การสมาทานรักษาศิลห้า เพียงหนึ่งวันนั้นได้กุศลมากกว่าการให้ทานมากมายนัก ไม่ได้เสียเงินทองใด ๆ  หากท่านตั้งใจจะอุทิศบุญหรือส่งบุญให้ใคร ขอให้ลองวิธิการถือศิลห้าให้ได้หนึ่งวันและหากในวันรุ่งขึ้นสามารถตักบาตรพระสงฆ์ได้ก็จะยิ่งดีมาก ด้วยผลบุญแห่งการกระทำนี้จะทำให้ชีวิตประสบแต่สิ่งที่ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

กัลยามิตรของอาจารย์คนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า ไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ระหว่างที่เดินดูสถานที่ต่าง ๆ ในวัดนั้น ก็มีหญิงสาวที่ทำอาชีพขายนกขายปลาให้ผู้คนซื้อเพื่อนำไปปล่อย มาทักทายและคุยด้วย คุยกันถูกคอ หญิงคนนั้นจึงปรารภให้ฟังว่าชีวิตตนลำบาก ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด อาชีพที่ทำอยู่ตอนนี้ก็แทบไม่ได้กำไร แต่ไม่รู้จะทำอะไรให้มีเงินเลี้ยงลูกที่ยังเล็กอยู่  กัลยามิตรของอาจารย์ท่านนั้นก็เลยแนะนำให้เขารักษาศีลให้ได้สักวัน บุญที่เกิดขึ้นจากการรักษาศีลนี้มีมากนัก ขอให้ส่งบุญให้เทวดาที่รักษาตัวเอง ขอพรจากเทวดาให้ช่วยชี้ทางให้มีอาชีพที่ดี ทำมาค้าขึ้น และส่งบุญนั้นให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของตนเองด้วยเมื่อได้รับบุญกุศลนี้แล้ว ขอให้เปิดทางให้ทำมาค้าขึ้น

และหลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน เมื่อได้มีโอกาสกลับมาทำบุญที่วัดนี้อีกครั้งก็ได้พบหญิงสาวคนนี้อีกครั้งในใบหน้าและรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิมมาก เธอมีอาชีพใหม่ คือขายขนมอยู่บริเวณหน้าวัดนั่นเอง ดูมีความสุขและมั่นคงกว่าอาชีพเดิม หญิงคนนั้นเข้ามาขอบคุณและบอกว่าชีวิตของเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เธอเชื่อว่าเทวดาและเจ้ากรรมนายเวรของเธอได้รับบุญที่เธอส่งให้และให้พรให้เธอได้มีอาชีพที่ดีและมั่นคงมากขึ้น

จากเรื่องที่เล่ามาข้างต้นนี้ จะเห็นว่าการรักษาศีลเป็นเรื่องไม่อยาก สามารถทำได้ในชีวิตปกติของคนทั่วไปอย่างไรก็ดี พุทธศาสนิกชนที่ดีจะต้องหมั่นสร้างบุญในทุก โอกาสที่มี ทั้งทำทาน รักษาศีล และ ภาวนา เพื่อสั่งสมบารมีต่อไป

พระพุทธองค์ท่านสอนให้ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา(ปัญญา)ไปควบคู่กัน โดยไม่ให้ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป เพราะถ้าทำแต่ทานไม่มีศีลก็จะมีโอกาสทำชั่วมาก ตกนรกภูมิเวียนวนชดใช้กรรมในวัฏสงสาร และไม่เจริญภาวนาสู่ปัญญาก็ไม่มีปัญญาหาทางเข้าสู่นิพพาน พ้นทุกข์ไม่ได้
เมื่อ มีแต่ศีลหรือเจริญภาวนาอย่างเดียวในชาตินี้ (และยังไม่สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้) ถ้าไม่ทำทานก็เกิดมาในชาติถัดไปก็จะอดอยากมีชีวิตลำบากโอกาสผิดศีลย่อมมีมากกว่าคนที่เกิดมามีฐานะดี และอาจเป็นเหตุให้ทำกรรมชั่วได้ง่ายเพราะความจน และไม่มีเวลามาสนใจในการภาวนาเพราะลำพังความจนก็ทุกข์ทรมานหิวโหยอยู่แล้วจะ เอาเวลาที่ไหนมานั่งภาวนาเพราะต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ ซึ่งต่างกับคนมีฐานะดี ยิ่งเป็นเศรษฐีแม้ไม่ต้องทำงานก็มีทรัพย์จุนเจือกินใช้ไม่หมดในชาตินี้ มีเวลาสามารถมาเจริญภาวนาสู่ปัญญาได้โดยไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องเงินทอง เป็นต้น

Technorati Tags:

หลวงตาฮาร์วาร์ด พระเถระ 5 แผ่นดิน ผู้สืบทอดสุดยอดวิชาแห่งสำนักวัดมะขามเฒ่า   Leave a comment

หลวงปู่ พิชัย ฐิติลาโภ อายุ 109 ปี 

พระเถระ 5 แผ่นดิน ผู้สืบทอดสุดยอดวิชาแห่งสำนักวัดมะขามเฒ่า ปรมาจารย์ผู้มีอาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวัดสุทัศน์ ศิษย์ในองค์พระสังฆราชแพ พระอาจารย์ในดง พระในตำนาน ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันมากในหมู่พระธุดงค์

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับ วารสาร รายการโทรทัศน์ ได้เผยแพร่เรื่องราวของหลวงปู่ในนามของ “หลวงตาฮาร์วาร์ด” ผู้ ชำนาญในการใช้สมุนไพรโบราณและตัวยาในแผนปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่มาของฉายานี้ก็มาจากเมื่อครั้งก่อนบวชนั้นท่านได้สำเร็จการศึกษาสูง สุดในระดับปริญญาเอก หรือเป็นด๊อกเตอร์ที่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดนั่นเอง ซึ่งต่อมาได้อุปสมบท ณ อุโบสถวัดสุทัศน์เทพวราราม โดยมี สมเด็จพระสังฆราชแพ เป็นพระอุปัชฌาย์ นอกจากนั้นหลวงปู่ยังได้ศึกษาวิชาพุทธาคมในสายหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า โดยมีหลวงปู่ปลื้มผู้เป็นน้องร่วมสายโลหิตของหลวงปู่ศุขเป็นผู้ฝึกสอน ให้โดยตรง และหลวงปู่ปลื้มผู้นี้เองที่เป็นผู้สร้างวัตถุมงคลพระเครื่องต่างๆ ให้แก่หลวงปู่ศุขในขณะนั้น และเป็นสมภารเจ้าผู้ครองวัดมะขามเฒ่าในเวลาต่อมา

ดัง นั้นจึงกล่าวได้เต็มปากว่า หลวงปู่พิชัยท่านเป็นปรมาจารย์ผู้สำเร็จสุดยอดวิชาทั้งสำนักวัดมะขามเฒ่าและ สายวัดสุทัศน์ หลวงปู่พิชัยจำพรรษาอยู่ที่วัดสุทัศน์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493-2511 ซึ่งในขณะนั้นท่านมีชื่อเสียงทางด้านการเทศนาธรรม เป็นปราชญ์แห่งธรรม และมีศักดิ์เป็นถึง ท่านเจ้าคุณพระสุนทรธรรมรส รองเจ้าคณะ 1 แห่ง วัดสุทัศน์ ท่านได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกครั้งสำคัญๆ มากมายหลายพิธีในสมัยนั้น ก่อนออกธุดงค์ไปหลายปีจนมาถึงสำนักสงฆ์เขาหงษ์ในปัจจุบัน

ในส่วนตัวอาจารย์วิเชียร์นั้น มีความเคารถนับถือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าเป็นครูอีกท่านหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อทราบประวติของหลวงปู่พิชัยฯ ท่านแล้ว ก็เกิดความศรัทธา จึงได้ไปกราบนมัสการฝากตัวเป็นศิษย์ เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2552  และก็ได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ประสิทธิวิชาให้ป็นอย่างดี

    

     

  

ประกาศ   ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๓

หลวงปู่ได้มรณะภาพแล้ว เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2553 ขอกราบบูชาและอาลัยยิ่ง ท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งยงจากไปอีกท่านแล้ว………

ภาพจากงานสวดอภิธรรม ในวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๓ ณ วัดเทพลีลา กรุงเทพมหานคร

อาจารย์วิเชียร คุรุพรหมมา

คณะศิษย์และญาติของหลวงปู่ฯ

งานประจำปี วัดคฤหบดี บางพลัด กรุงเทพมหานคร   Leave a comment

งานประจำปีของวัดคฤหบดี เขตบางพลัด ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2552  อาจารย์ได้ไปช่วยงานทางวัด โดยทำพิธีบรวงสรวง และ พุทธาภิเษกในงานเทศกาลประจำปีของวัด

อยากจะแนะนำข้อมูลของวัดนี้นิดนึง วัดคฤหบดีนี้ มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ปูชนียวัตถุและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของวัด คือ หลวงพ่อแซกคำ เป็นพระพุทธรูปทองคำโบราณ  สมัยเชียงแสน หน้าตักกว้าง ๑๘ นิ้ว ปางมารวิชัย สร้างขึ้นประมาณระหว่าง พ.ศ.๑๗๐๐ – ๑๘๐๐ นับว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีอภินิหารศักดิ์สิทธิ์คู่กับพระแก้วมรกต ได้อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ พ.ศ.๒๓๖๙ และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ โปรดพระราชทานให้เป็นพระประธานในพระอุโบสถของวัดคฤหบดี ตั้งแต่เริ่มตั้งวัดมาจนถึงปัจจุบัน

พระครูธรรมจริยาภิรมย์ (หลวงปู่ทัต อินทโชติ)เป็นพระเกจิอาจารย์ ที่ได้สร้างเบี้ยแก้ที่เป็นศรัทธาของบุคคลทั่วไป ซึ่งมรณะภาพไปนานแล้ว ขณะนี้ทางวัดก็ยังมีการสร้างเบี้ยแก้สืบสานวิชาของหลวงปู่อยู่

 

ในภาพด้านล่าง เป็นภาพพิธีบรวงสรวงหลวงพ่อแซกคำ และพุทธาภิเษกรูปหล่อหลวงปู่ทัด อินทโชติ

       

 

     

 

กิจกรรมที่ ยะโฮร์บารู มาเลเซีย   Leave a comment

การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางไปรับแขกนอกประเทศเป็นครั้งแรกของอาจารย์ ก่อนหน้านี้ก็มีคนมาติดต่อให้ไป แต่ระยะเวลาที่ไปแต่ละครั้งนานเป็นเดือน และอยู่ในช่วงที่ดูแลหลวงพ่อบุญมากที่สุขภาพไม่แข็งแรงในช่วงนั้น เลยไม่มีโอกาสไป เพิ่งมาครั้งนี้ได้จังหวะไป ถือว่าไปเปิดหูเปิดตาด้วยเลย เจ้าภาพที่เชิญไปในครั้งนี้ดูแลดีมาก การเดินทางทั้งไปทั้งกลับและการทำงานที่โน่นไม่มีอุปสรรคอะไรเลย

ได้มีโอกาสถ่ายรูปเป็นที่ระลึกในวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ มีภาพมาให้ชมนิดหน่อยเพียงเท่านี้

                   

                      

          

เดินทางไปรับแขกที่มาเลเซีย   Leave a comment

ช่วงวันที่  21-28 กรกฎาคม 2552 อาจารย์วิเชิยรเดินทางไปรับแขกที่ประเทศมาเลเซีย ช่วงนี้อาจจะติดต่อหาอาจารย์ได้ไม่สะดวก โปรดติดต่อหลังจากวันที่ 28 กรกฎาคมไปแล้วครับ

อุทยานพระพิฆเนศ ศรัทธามหาชน-ขอพรเนืองแน่น   Leave a comment

พระพิฆเนศวร เป็นมหาเทพฮินดู เป็นโอรสของ พระศิวะ และ พระแม่อุมาเทวี มีผู้คนเคารพนับถือมาก ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความ สำเร็จ เป็นผู้ประทานโชคลาภและขจัดอุปสรรคต่างๆ ให้แก่มวลมนุษย์ที่เคารพนับถือ โดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ
ย่อมเป็นที่ทราบกันในปัจจุบัน “พระพิฆเนศองค์ใหญ่ที่สุดในโลก” ประดิษฐานอยู่ที่อุทยานพระพิฆเนศ ในจังหวัดนครนายก ถนนเส้นน้ำตกสาริกาเลยตัวจังหวัดขึ้นมาเพียง 6 กิโลเมตร ถึงแยกไฟแดงแรกเลี้ยวซ้ายเข้าไปเพียง 200 เมตร อยู่ซ้ายมือมีที่จอดรถได้เป็นพันคัน
ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือว่าวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะมีประชาชนทั่วสารทิศเดินทางไปกราบบูชาขอพรกันอย่างเนืองแน่น จนอุทยานพระพิฆเนศที่กว้างขวางดูคับแคบไปถนัดตา

อาจารย์วิเชียร และคณะได้ไปประจำอยู่ที่อุทยานฯ ทำหน้าที่เป็นพ่อพราหม์ลงนะเมตตาให้กับทุกท่านที่ไปขอพรบูชาพระพิฆเนศ และ มหาเทพท่านอื่น ๆ ที่ประดิษฐานอยู่ภายในบริเวณอุทยานฯ โดยอาจารย์วิเชียร์ได้ไปปฏิบัติหน้าที่ ในช่วงปี 2551 – พฤษภาคม  3553 โดยประมาณ ต่อจากนั้น อาจารย์ติดภาระกิจที่กรุงเทพฯ จึงได้งดการปฏิบัติหน้าดังที่กล่าว หากท่านใดต้องการติดต่อ นัดหมายอาจารย์ ก็สามารถโทรสอบถามและนัดหมายได้ที่ หมายเลข 087-905-4112  เช่นเดิม

พระพรหม มหาเทพ ผู้สร้างโลก ผู้บันดาล และผู้คุ้มครองมวลมนุษย์   Leave a comment

พระพรหม คือ พระเจ้าผู้สร้าง ผู้ลิขิตความเป็นไปของทุกสรรพสิ่ง เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกคน พระพรหมจึงเป็นผู้รู้ความเคลื่อนไหวของสรรพชีวิต เหตุการณ์สำคัญของโลกล้วนอยู่ในสายตาของพระพรหม พระพรหมคือมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งในสามตรีมูรติ ทรงรับฟังคำอธิษฐานของผู้ศรัทธาเสมอ ผู้บูชาพระพรหมและทำความดี จะได้รับการบันดาลพรให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา
พระพรหม มีพระนามหลากหลาย เช่น พระพรหมมา พระพรหมา พระพรหมธาดา ท้าวมหาพรหม ปชาบดี อาทิกวี อาตมภู โลกาธิปดี ฯลฯ

กำเนิดของพระพรหมมีมากมายหลายตำรา

ถ้าเป็นคัมภีร์ปุราณะของพราหมณ์ฝ่ายพระวิษณุเป็นใหญ่ (ไวษณพนิกาย) จะกล่าวถึง กำเนิดพระพรหม ว่า พระพรหมถือกำเนิดในดอกบัว ซึ่งดอกบัวนี้ผุดขึ้นมาจากพระนาภี (สะดือ) ของพระวิษณุ นั่นหมายถึง พระวิษณุมีมาก่อนทุกสรรพสิ่ง พระองค์ต้องการสร้างโลก จึงให้กำเนิดพระพรหมขึ้นมาเพื่อภารกิจนี้ 

ถ้าเป็นคัมภีร์ปุราณะของพราหมณ์ฝ่ายพระศิวะเป็นใหญ่ (ไศวะนิกาย) จะกล่าวถึงกำเนิดพระพรหมว่า พระศิวะใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งลูกพระหัตถ์อีกข้างหนึ่ง บังเกิดแสงขึ้นมาในพระหัตถ์ พระพรหมก็ออกมาจากแสงนั้นเอง ด้วยเหตุผลที่พระศิวะต้องการสร้างโลก จึงให้กำเนิดพระพรหมขึ้นมาเพื่อภารกิจนี้ ตำนานนี้พระศิวะจึงเป็นผู้มีมาก่อนทุกสรรพสิ่ง

สำหรับคัมภีร์ปุราณะของ ฝ่ายพระพรหม เองนั้นบันทึกไว้ว่า พระพรหมเกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีสิ่งใดมาก่อน แท้จริงแล้วพระองค์ไม่มีจุดกำเนิด คือ มีอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นของจักรวาลแล้ว เรียกสภาวะของพระพรหมนี้ว่า อาปวะ เมื่อพระพรหมประสงค์จะสร้างสิ่งต่างๆ จึงได้แบ่งตัวเองออกเป็น 2 ภาค ภาคหนึ่งคือเพศชาย ภาคหนึ่งคือเพศหญิง (พระแม่สรัสวดี) ร่วมมือกันสร้างเทพองค์อื่นๆ เทวดา มนุษย์ สัตว์ และพืชพรรณทั้งหลายในโลก

พระพรหม เป็นเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ ทรงมีอานุภาพในการลิขิตชะตาชีวิต โดยควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎแห่งกรรม พระพรหมจึงเป็นผู้คุ้มครองคนดี และลงโทษผู้กระทำบาป ผู้มีกิเลสตัณหา จะถูกพระพรหมลิขิตให้ชีวิตมีแต่ความลำบากยากเข็ญ ผู้มีจิตใจเอื้ออารีย์ต่อผู้อื่น พระพรหมจะบันดาลให้มีความสุขและสมบูรณ์ในชีวิต การเสียสละต่อส่วนรวมคือการถวายความจงรักภักดีต่อพระพรหม พระพรหมจะบันดาลพรให้ผู้เสียสละนั้นมีแต่ความสุขตลอดกาล

ผู้ศรัทธาในพระพรหม เมื่อสวดบูชาต่อพระองค์แล้ว พระองค์จะประทานปัญญาในการประกอบอาชีพ ปกป้องให้ห่างจากศัตรู ประทานความแข็งแรง ความรู้แจ้ง ชี้แนะแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ และมอบความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณแก่ผู้นั้น
พระพรหมทรงโปรดความเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย มีพระทัยอ่อนโยน รักสรรพชีวิตที่พระองค์สร้างมาเสมอ เมื่อผู้ศรัทธาต้องการสักการะ พระพรหมก็โปรดการจัดการอย่างเรียบง่าย มีความตั้งใจ แต่ไม่ใหญ่โตวุ่นวาย พระองค์โปรดให้ลูกศิษย์สวดภาวนาว่า "สัก ชิต เอกัม พรหมมา" หรือ "โอม อาฮัม พรหมมา อัสมิ" เป็นร้อยๆ พันๆ หมื่นๆ แสนๆ เที่ยว และให้นั่งสมาธิตั้งจิตเพ่งไปที่พระองค์ การที่ผู้ศรัทธาได้อยู่กับพระพรหมตามลำพัง นั่งสมาธิและสวดภาวนาให้นานที่สุด พระองค์จะโปรดมาก เพราะพระองค์ทรงสอนว่า การนั่งอยู่กับที่และระลึกถึงพระองค์ บริโภคมังสวิรัติ ไม่ออกไปสร้างสิ่งเดือดร้อนให้ผู้อื่น คือการตอบแทนพระคุณพระพรหมได้ดีที่สุด

พระพรหมในศาสนาพุทธ กับ พระพรหมในศาสนาพราหมณ์ นั้นมีรูปกายเหมือนกัน ลักษณะภายนอกเหมือนกัน แต่ไม่ใช่องค์เดียวกัน

พระพรหมของพุทธ คือ คนที่ทำความดี ตั้งมั่นอยู่ใน พรหมวิหาร 4และไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งมนุษย์ทุกคนสามารถเป็นพรหมได้ หากตั้งมั่นอยู่บนความมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา บนสวรรค์จึงมีพระพรหมเป็นล้านๆองค์ พระพรหมที่ชาวไทยรู้จักกันดีได้แก่ ท้าวมหาพรหม หรือ พระพรหมเอราวัณ ณ สี่แยกราชประสงค์  

พระพรหมของพราหมณ์-ฮินดู คือ ผู้สร้างโลก ซึ่งมีเพียงองค์เดียว แต่เรียกได้หลายพระนาม เช่น พระพรหมมา พระพรหมธาดา ท้าวจตุรมุข ประชาบดี

พระพรหมทั้ง 2 ศาสนานี้ มีลักษณะรูปกายเหมือนกัน นั่นคือ เป็นเทพเจ้าที่มี 4 พระพักต์ มีหลายพระกร แต่ละพระกรทรงศาสตราวุธต่างๆกัน ต่างกันก็เพียงพระนาม ผู้ศรัทธาจึงสามารถไหว้พระพรหม โดยสมมติให้รูปเคารพนั้นๆ เป็นพระพรหมของศาสนาที่ตนนับถือได้ทั้งพุทธและพราหมณ์